เราเตอร์ (Router) คืออะไร เลือกยังไงให้แรง ครอบคลุมทั่วบ้าน?
เคยไหม? ที่รู้สึกว่าอินเทอร์เน็ตที่บ้านช้าเหลือเกิน ทั้งๆ ที่สมัครแพ็กเกจความเร็วสูงแล้ว หรือสัญญาณ Wi-Fi ไปไม่ถึงบางมุมของบ้าน ปัญหาเหล่านี้อาจมีสาเหตุมาจากอุปกรณ์ชิ้นสำคัญที่เรียกว่า เราเตอร์ (Router) นั่นเอง บทความนี้จาก TreeMobile จะพาไปทำความรู้จักกับ เราเตอร์ ให้มากขึ้น พร้อมแนะนำวิธีเลือกซื้อให้ได้รุ่นที่แรงสะใจ สัญญาณครอบคลุมทั่วบ้าน ตอบโจทย์ทุกการใช้งาน ไม่ว่าจะเป็นการทำงาน เรียนออนไลน์ ดูซีรี่ย์ หรือเล่นเกม ก็ลื่นไหลไม่มีสะดุด หมดปัญหาเน็ตช้ากวนใจ
เราเตอร์ (Router) คืออะไร
หลายคนอาจสงสัยว่า เราเตอร์คือ อะไรกันแน่? พูดง่ายๆ เราเตอร์ (Router) คือ อุปกรณ์เครือข่ายที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน "ตัวกลาง" หรือ "ผู้จัดการจราจรข้อมูล" ในระบบเน็ตบ้าน บทบาทหลักๆ ของ router คือ
- เชื่อมต่อเครือข่ายภายในบ้าน: เราเตอร์ทำหน้าที่เชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ ภายในบ้าน เช่น คอมพิวเตอร์, โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน, แท็บเล็ต, สมาร์ททีวี ให้สามารถสื่อสารหากันได้ภายในเครือข่ายเดียวกัน (Local Area Network - LAN)
- เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต: เราเตอร์รับสัญญาณอินเทอร์เน็ตจากผู้ให้บริการ (ISP) ผ่านทางโมเด็ม (Modem) หรือผ่านสาย LAN/Fiber โดยตรงในบางกรณี แล้วกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตนั้นไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ที่เชื่อมต่ออยู่ ทั้งแบบใช้สาย (ผ่านพอร์ต LAN) และแบบไร้สาย (ผ่าน Wi-Fi)
- กำหนดเส้นทางข้อมูล (Routing): นี่คือหัวใจสำคัญของชื่อ "Router" มันทำหน้าที่เลือกเส้นทางที่ดีที่สุดในการส่งข้อมูล (Data Packets) ระหว่างอุปกรณ์ในเครือข่ายกับโลกอินเทอร์เน็ตภายนอก ทำให้ข้อมูลถูกส่งไปถึงปลายทางได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
- ทำหน้าที่เป็น DHCP Server: แจกจ่าย IP Address อัตโนมัติให้กับอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อเข้ามาในเครือข่าย ทำให้ไม่ต้องตั้งค่า IP เองให้ยุ่งยาก
- ทำหน้าที่เป็น Firewall: ช่วยป้องกันภัยคุกคามเบื้องต้นจากอินเทอร์เน็ต ไม่ให้เข้าถึงอุปกรณ์ในเครือข่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต
สรุปง่ายๆ ว่า หากไม่มีเราเตอร์ อุปกรณ์ต่างๆในบ้านก็ไม่สามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตพร้อมกัน หรือสื่อสารกันได้อย่างสะดวกนั่นเองการติดไวไฟบ้านจึงจำเป็นต้องมีเราเตอร์เป็นหัวใจหลัก
ประเภทของเราเตอร์
เราเตอร์ในปัจจุบันมีหลากหลายประเภท แต่ที่นิยมใช้งานกันทั่วไปตามบ้านและสำนักงานขนาดเล็ก แบ่งได้หลักๆ ดังนี้
1. เราเตอร์ไร้สาย (Wireless Router)
นี่คือประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน หรือที่เรียกติดปากกันว่า เร้าเตอร์ wifi หรือ เร้าเตอร์ไวไฟ นั่นเอง เราเตอร์ประเภทนี้จะรวมความสามารถของการเป็น Router เข้ากับ Access Point (ตัวกระจายสัญญาณ Wi-Fi) ไว้ในเครื่องเดียว ทำให้สามารถกระจายสัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบไร้สายไปยังอุปกรณ์ต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย เหมาะสำหรับบ้านพักอาศัยทั่วไปที่ต้องการความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อ มีทั้งรุ่นที่รองรับเฉพาะคลื่น 2.4GHz, รองรับ 2 คลื่น (Dual-Band: 2.4GHz และ 5GHz) และรุ่นใหม่ๆ ที่รองรับ 3 คลื่น (Tri-Band) รวมถึงเราเตอร์ 4g และเราเตอร์ 5g ที่สามารถใส่ซิมการ์ดเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตได้โดยตรง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่สายอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง หรือต้องการเราเตอร์พกพา
2. เราเตอร์มีสาย (Wired Router)
เราเตอร์ประเภทนี้จะไม่มีฟังก์ชันการกระจายสัญญาณ Wi-Fi ในตัว การเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ต่างๆ ต้องทำผ่านสาย LAN เท่านั้น มักใช้ในองค์กร หรือในกรณีที่ต้องการความเสถียรสูงสุด และไม่เน้นการใช้งานแบบไร้สาย หรืออาจใช้ร่วมกับ Access Point แยกต่างหากเพื่อกระจายสัญญาณ Wi-Fi อีกทีหนึ่ง ปัจจุบันไม่ค่อยนิยมใช้ตามบ้านทั่วไปแล้ว
แนะนำเราเตอร์ เลือกรุ่นไหนดี?
การเลือกรุ่นเราเตอร์ให้เหมาะสมกับการใช้งานเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเราเตอร์ใส่ซิมที่กำลังเป็นที่นิยมสำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก หรืออยู่ในพื้นที่ที่สายอินเทอร์เน็ตเข้าไม่ถึง TreeMobile ขอแนะนำ 3 เราเตอร์ 4G ราคาถูก ที่น่าใช้งาน
1. TP-Link M7000
นี่คือเราเตอร์พกพาขนานแท้ ขนาดเล็กกะทัดรัด น้ำหนักเบา ใส่ซิม 4G แล้วแชร์ Wi-Fi ได้เลย เหมาะสุดๆ สำหรับคนเดินทางบ่อย หรือต้องการ Wi-Fi ส่วนตัวนอกสถานที่ รองรับ Dual-Band Wi-Fi (2.4GHz และ 5GHz) เพิ่มความยืดหยุ่นในการเชื่อมต่อ แบตเตอรี่ใช้งานได้นาน
สเปค
รองรับ 4G LTE ดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbps / อัปโหลด 50 Mbps, แชร์ Wi-Fi ได้พร้อมกันสูงสุด 10 อุปกรณ์, แบตเตอรี่ 2000mAh ใช้งานได้นาน 8 ชั่วโมง, รองรับแอป tpMiFi จัดการง่ายผ่านมือถือ
เหมาะกับการใช้งาน
พกพาไปใช้นอกบ้าน, ทำงานนอกสถานที่, ใช้บนรถยนต์, เป็นเน็ตสำรองฉุกเฉิน, นักเรียนนักศึกษาที่ต้องการ Wi-Fi ส่วนตัว
2. TP-Link MR100
เราเตอร์ใส่ซิม 4G LTE ยอดนิยม เราเตอร์tplink ราคาคุ้มค่า ติดตั้งง่ายแค่เสียบซิมการ์ดและอะแดปเตอร์ ก็พร้อมใช้งานได้ทันที มีเสาสัญญาณ 4G LTE ภายนอก 2 ต้น ช่วยรับสัญญาณได้ดีขึ้น และมีพอร์ต LAN 2 พอร์ตสำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบใช้สาย
สเปค
รองรับ 4G LTE Cat4 ดาวน์โหลดสูงสุด 150 Mbps / อัปโหลด 50 Mbps, ปล่อยสัญญาณ Wi-Fi ความเร็วสูงสุด 300 Mbps (บนคลื่น 2.4GHz), 2 x พอร์ต LAN 10/100 Mbps (พอร์ต 1 ตั้งค่าเป็น WAN ได้), รองรับการเชื่อมต่อ Wi-Fi สูงสุด 32 อุปกรณ์
เหมาะกับการใช้งาน
บ้านพักอาศัย, หอพัก, คอนโดที่ไม่มีสายอินเทอร์เน็ต, ร้านค้าขนาดเล็ก, สำนักงานชั่วคราว, พื้นที่อับสัญญาณเน็ตบ้าน
3. T3 Smart 4G CPE (C21)
เราเตอร์ใส่ซิม 4G LTE CPE เหมาะกับการวางในบ้านหรือออฟฟิศ ออกแบบมาเพื่อใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านซิมการ์ดโดยเฉพาะ มีเสาอากาศ ช่วยให้รับสัญญาณ 4G และกระจาย Wi-Fi ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รองรับการเชื่อมต่ออุปกรณ์ได้หลายเครื่อง
สเปค
รองรับ 4G LTE, ปล่อยสัญญาณ Wi-Fi, มีพอร์ต LAN สำหรับเชื่อมต่ออุปกรณ์แบบมีสาย, ตั้งค่าง่ายผ่าน Web UI
เหมาะกับการใช้งาน
บ้านพักอาศัย, โฮมออฟฟิศ, ร้านค้า
เคล็ดลับการเลือกซื้อเราเตอร์
เพื่อให้ได้เราเตอร์ที่ตอบโจทย์การใช้งานมากที่สุด ลองพิจารณาปัจจัยเหล่านี้ก่อนตัดสินใจซื้อ:
- ความเร็ว (Speed): เลือก เราเตอร์ ที่มีความเร็วรองรับแพ็กเกจอินเทอร์เน็ตที่ใช้งานอยู่ หรือสูงกว่าเล็กน้อยเผื่ออนาคต ดูที่มาตรฐาน Wi-Fi (เช่น Wi-Fi 5/AC, Wi-Fi 6/AX, Wi-Fi 6E) และความเร็วสูงสุดที่ระบุ (หน่วยเป็น Mbps หรือ Gbps - ลองดูข้อมูลเกี่ยวกับkbps คืออะไรเพื่อเข้าใจหน่วยความเร็ว)
- รัศมีสัญญาณ (Coverage): พิจารณาขนาดของบ้านหรือพื้นที่ที่ต้องการให้สัญญาณครอบคลุม บ้านขนาดใหญ่หรือมีหลายชั้น อาจต้องการ เราเตอร์ ที่มีกำลังส่งสูง, มีเสาสัญญาณหลายต้น หรือพิจารณาระบบ Mesh Wi-Fi เพื่อการกระจายสัญญาณที่ดีขึ้น
- จำนวนอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อ: หากบ้านมีอุปกรณ์ที่ต้องเชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมกันหลายชิ้น (คอมพิวเตอร์, มือถือ, แท็บเล็ต, Smart Home) ควรเลือกรุ่นที่รองรับเทคโนโลยี MU-MIMO (Multi-User, Multiple Input, Multiple Output) เพื่อการจัดสรรแบนด์วิธที่มีประสิทธิภาพ
-
ย่านความถี่ (Frequency Bands):
- Single-Band (2.4GHz): ราคาถูกกว่า สัญญาณไปได้ไกลกว่า แต่ความเร็วต่ำกว่าและอาจถูกรบกวนง่าย
- Dual-Band (2.4GHz + 5GHz): นิยมที่สุด ย่าน 5GHz ให้ความเร็วสูงกว่าและสัญญาณรบกวนน้อยกว่า เหมาะกับอุปกรณ์ใหม่ๆ ส่วน 2.4GHz ใช้กับอุปกรณ์รุ่นเก่าหรืออยู่ไกลเราเตอร์
- Tri-Band (2.4GHz + 5GHz + 5GHz/6GHz): ประสิทธิภาพสูงสุด เหมาะสำหรับบ้านที่มีอุปกรณ์เชื่อมต่อเยอะมาก หรือต้องการประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับการเล่นเกม/สตรีมมิ่ง
- พอร์ตเชื่อมต่อ (Ports): ตรวจสอบจำนวนและความเร็วของพอร์ต LAN (ควรเป็น Gigabit Ethernet: 1000 Mbps) และพอร์ต WAN ให้เพียงพอต่อการใช้งาน และรองรับความเร็วอินเทอร์เน็ต
- ฟีเจอร์เสริม: เช่น พอร์ต USB สำหรับต่อ External HDD หรือ Printer, การรองรับ VPN, Quality of Service (QoS) สำหรับจัดลำดับความสำคัญการใช้งานอินเทอร์เน็ต, Parental Control ควบคุมการใช้งานของเด็ก
- ความปลอดภัย: เลือกรุ่นที่รองรับมาตรฐานความปลอดภัยล่าสุด เช่น WPA3
- งบประมาณ: ราคาเราเตอร์มีตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักหมื่น เลือกให้เหมาะสมกับงบประมาณและความต้องการใช้งาน
ขั้นตอนการติดตั้งเราเตอร์
การติดตั้ง เราเตอร์ ส่วนใหญ่ไม่ซับซ้อน สามารถทำได้ด้วยตัวเองตามขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้:
-
เชื่อมต่อสาย:
- ต่อสายจากโมเด็ม (ที่มาจากผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ต) เข้าที่พอร์ต WAN (มักจะเป็นสีที่แตกต่างจากพอร์ตอื่น หรือมีสัญลักษณ์เฉพาะ)
- เสียบอะแดปเตอร์จ่ายไฟให้เราเตอร์
- เปิดเครื่อง: กดปุ่มเปิดเครื่อง (ถ้ามี) และรอให้เราเตอร์บูทระบบ สังเกตไฟสถานะ
-
เชื่อมต่อกับเราเตอร์:
- แบบใช้สาย: ใช้สาย LAN ต่อจากพอร์ต LAN ของเราเตอร์เข้ากับคอมพิวเตอร์
- แบบไร้สาย: ใช้คอมพิวเตอร์หรือมือถือ ค้นหาสัญญาณ Wi-Fi ชื่อเริ่มต้น (SSID) และรหัสผ่านเริ่มต้น (มักจะอยู่บนสติกเกอร์ใต้เครื่องเราเตอร์) แล้วทำการเชื่อมต่อ
- เข้าหน้าตั้งค่า: เปิดเว็บเบราว์เซอร์ (Chrome, Firefox, Edge) แล้วพิมพ์ IP Address ของเราเตอร์ลงในช่อง Address bar (เช่น 192.168.1.1 หรือ 192.168.0.1 - ดูในคู่มือ) จากนั้นกรอก Username/Password เริ่มต้น (ดูในคู่มือหรือใต้เครื่อง) เพื่อล็อกอินเข้าสู่ระบบตั้งค่า
-
ตั้งค่าพื้นฐาน (Setup Wizard): ส่วนใหญ่เราเตอร์จะมี Setup Wizard ช่วยตั้งค่าอัตโนมัติ หรือสามารถตั้งค่าเองได้ ดังนี้:
- ตั้งค่าการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต (WAN/Internet Setup): ส่วนใหญ่มักจะเป็น Dynamic IP หรือ PPPoE (ต้องใช้ Username/Password จาก ISP)
- ตั้งค่า Wi-Fi (Wireless Setup): เปลี่ยนชื่อเครือข่าย (SSID) และตั้งรหัสผ่าน Wi-Fi ใหม่ที่คาดเดายาก เพื่อความปลอดภัย
- เปลี่ยนรหัสผ่านเข้าเราเตอร์ (Admin Password): เปลี่ยนรหัสผ่านสำหรับล็อกอินเข้าหน้าตั้งค่า เพื่อป้องกันผู้อื่นเข้ามาแก้ไข
- อัปเดตเฟิร์มแวร์ (Firmware Update): หากมีเฟิร์มแวร์เวอร์ชันใหม่ ควรอัปเดตเพื่อประสิทธิภาพและความปลอดภัยที่ดีขึ้น
- รีสตาร์ท: หลังจากตั้งค่าเสร็จสิ้น ให้รีสตาร์ทเราเตอร์ แล้วลองทดสอบการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต
แนะนำซิมเทพสำหรับใส่เราเตอร์
สำหรับใครที่ใช้เราเตอร์ 4g หรือเราเตอร์ 5g แบบใส่ซิม หรือเราเตอร์พกพาการเลือกซิมการ์ดที่เหมาะสมก็สำคัญไม่แพ้กัน TreeMobile ขอแนะนำซิมเทพที่เหมาะกับการใช้งานอินเทอร์เน็ตผ่านเราเตอร์โดยเฉพาะ
ซิมเทพธอร์ (เน็ตไม่อั้น 15Mbps รายปี)
ซิมเทพทรู 6Mbps (เน็ตไม่อั้น 6Mbps รายปี)
เลือกซิมเทพที่ตรงกับการใช้งาน และพื้นที่ให้บริการของเครือข่าย เพื่อให้ เราเตอร์ใส่ซิม ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และ TreeMobile ยังมีโปรโทรฟรีทุกเครือข่ายในซิมเทพตัวอื่นๆ ด้วย ลองเลือกชมได้เลย
คำถามที่พบบ่อย
1. เราเตอร์มีอายุการใช้งานกี่ปี?
โดยทั่วไปแล้วเราเตอร์มีอายุการใช้งานประมาณ 3-5 ปี อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยี Wi-Fi มีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา การเปลี่ยนเราเตอร์ใหม่ทุกๆ 3-4 ปี จะช่วยให้ได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีล่าสุด ทั้งในด้านความเร็ว ความเสถียร และความปลอดภัยที่ดีขึ้น แม้ว่าเราเตอร์ตัวเก่าจะยังใช้งานได้ แต่ประสิทธิภาพอาจไม่รองรับความเร็วอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์ใหม่ๆ ได้เต็มที่
2. อยู่หอใช้เราเตอร์ตัวไหนดี?
การเลือกเราเตอร์สำหรับหอพักหรือคอนโด ขึ้นอยู่กับประเภทการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่มีให้
- ถ้าหอพักมีสาย LAN ให้ สามารถซื้อเราเตอร์ไร้สาย (Wireless Router) ทั่วไปมาต่อเพื่อสร้าง Wi-Fi ส่วนตัวได้ เลือกรุ่นที่ไม่ต้องแรงมาก ขนาดกะทัดรัดก็เพียงพอ
- ถ้าหอพักไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ หรือสัญญาณไม่ดี อาจพิจารณาใช้เราเตอร์ 4g/เราเตอร์ 5g แบบใส่ซิม หรือ เราเตอร์พกพา (Pocket Wi-Fi) คู่กับซิมเทพ จะสะดวกและใช้งานได้ส่วนตัว แต่ต้องตรวจสอบสัญญาณเครือข่ายมือถือในพื้นที่นั้นๆ ก่อน
เลือกซื้อเราเตอร์ ได้ที่ Tree-Mobile
การเลือกเราเตอร์ที่เหมาะสมเป็นก้าวสำคัญสู่ประสบการณ์อินเทอร์เน็ตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะกำลังมองหา เร้าเตอร์ wifi สำหรับบ้าน, เราเตอร์ 4g/5g สำหรับใช้งานนอกสถานที่ หรือ เราเตอร์ราคาสุดคุ้ม TreeMobile มีตัวเลือกหลากหลาย พร้อมตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์
เข้ามาเลือกชมและสั่งซื้อเราเตอร์คุณภาพพร้อมโปรโมชั่นสุดพิเศษได้แล้ววันนี้ที่ https://www.tree-mobile.com/ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้เลย!